วิธีปลูกดอกกุหลาบ สร้างรายได้

วิธีปลูกดอกกุหลาบ
#การปลูกและดูแลรักษาดอกกุหลาบ
กุหลาบควรปลูกในฤดูฝนและฤดูหนาวเพราะเป็นช่วงของการเจริญเติบโตของกุหลาบ ช่วงที่ดีที่สุดคือช่วงเดือนมิถุนายน
เนื่องจากกุหลาบจะมีช่วงการเจริญเติบโตติดต่อกันเป็นระยะเวลานานมากกว่า 6 เดือน ซึ่งจะทำให้ได้ต้นกุหลาบที่เติบโตเต็มที่ ดอกมีคุณภาพ

กุหลาบเป็นไม้ดอกที่ต้องการแสงแดดจัดอย่างน้อยวันละ 6 ชม.

ดังนั้นควรปลูกในที่โล่งแจ้งและอับลม หรือปลูกทางด้านทิศตะวันออกให้กุหลาบได้รับแสงในตอนเช้า ดินมีการระบายน้ำดี

#วิธีเตรียมดินปลูกกุหลาบ......

การปลูก..... กระถาง 10 นิ้วขึ้นไป ถ้าปลูกลงดิน จะงอกงามดีกว่ากระถาง ควรเว้นระยะห่าง 60-80 ซม.

#ส่วนผสมของดินปลูก.....- ดิน 1 ส่วน
- อินทรีย์วัตถุ (ปุ๋ยหมัก ใบไม้ผุ หรือ แกลบ) 2 ส่วน
- ปุ๋ยคอก 1 ส่วน
- ขุยมะพร้าว (ใช้หรือไม่ก็ได้) 1/2 ส่วน

วิธีปลูกดอกกุหลาบ ครดิตภาพ :  sites.google.com/site/nalineebuntha
ที่ตั้งแปลง หรือ ที่วางกระถาง..... เป็นที่มีแดดอย่างน้อย 1/2 วัน ปกติกุหลาบต้องการแดดเต็มวัน แต่เนื่องจากกุหลาบไม่ชอบอากาศร้อน ดังนั้นในช่วงฤดูร้อนควรให้กุหลาบถูกแดดนานแค่ 1/2 วันก็พอ อาจจะย้ายที่วางใหม่ หรือ พรางแสงด้วยซาแลน

การให้น้ำ..... ปกติ 1 ครั้งต่อวัน หรือ ประมาณ 1 ลิตรต่อกระถาง 10 นิ้ว แต่ฤดูร้อน อากาศแห้งมาก อาจต้องเพิ่มเป็น 2 ครั้งต่อวัน

#การให้ปุ๋ย.....
- ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 หรอ 16-16-16 หรือ 14-9-20 หรือ 15-5-20 หรือ 21-9-24
- ปุ๋ยคอก (มูลสัตว์) ขี้ไก่ (แบบอัดเม็ด จะดีกว่าจากฟาร์ม เพราะเวลารดน้ำจะกลิ่นเหม็นมาก) ขี้วัว (ต้องใช้ปริมาณมากกว่าขี้วัว แต่ข้อเสีย เรื่องวัชพืชที่ตามมา)
- ปุ๋ยคอก มีแร่ธาตุอาหารน้อยกว่าปุ๋ยเคมี จึงควรใช้ปุ๋ยคอกและเคมีสลับกัน โดยใช้ปุ๋ยคอกประมาณ 3-4 เดือนครั้ง เพื่อแก้ปัญหาดินแข็ง เหนียวจากปุ๋ยเคมี และทุกๆ 6 เดือน
- ปูนโดโลไมท์ (มีแคลเซียมและแมกนีเซียม) ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ต่อกระถาง 10-12 นิ้ว เพื่อแก้ความเป็นกรดจากปุ๋ยเคมี
- เมื่อใส่ปุ๋ยแล้วควรรดนำทันที เพื่อไม่ให้เข้มข้นตรงจุดใดจุดหนึ่งมากไป ทำให้รากเสียหาย ปุ๋ยเคมีควรใส่น้อยๆ แต่บ่อยๆ ไม่ควรใส่มากเกินไปเพราะจะทำให้ขอบใบไหม้ และตายได้

#การตัดแต่ง.....
- ต้นใหม่ ตัดแต่งกิ่งลีบ เล็ก ที่เป็นกิ่งรุ่นแรกๆ ออกที่โคนกิ่ง เหลือไว้แต่กระโดงใหญ่ๆ
- ต้นที่โตแล้ว ตัดกิ่งผอม กิ่งเป็นโรค บิดงอ กิ่งที่ง่ามแคบ หรือกิ่งที่พุ่งเข้าในพุ่ม กิ่งแก่ที่ไม่แตกยอดดอกอีกแล้วทิ้ง
- ดอกโรย ควรรีบตัดออกเพื่อไม่ให้เสียอาหารต่อไป ถ้าเป็นกุหลาบก้านยาวควรตัดเอาความยาวออกครึ่งนึ่งของความยาวก้าน หรือต่ำลงมาจนถึง 5 ใบชุด ไว้ซัก 2-3 ชุด
- การตัดแต่งประจำปี ควรทำปีละ 2 ครั้ง ในเดือนตุลาคม (ก่อนหนาว) และเดือนเมษายน (ก่อนฝน) เป็นการตัดแต่งเพื่อให้ตั้งพุ่มใหม่ เพื่อลดความสูง โดยตัดกิ่งกระโดงให้สั่นลงเหลือประมาณ 30-40 ซม. ถ้าต้นแข็งแรง แต่ถ้ามีกิ่งกระโดงมาก ก็ให้ตัดกิ่งแก่ออกเสียบ้าง

การเปลี่ยนกระถาง..... ทำปีละ 1 ครั้ง อาจทำพร้อมการตัดแต่งช่วงเดือนเมษายน โดยควักดินรอบๆขอบกระถางออกส่วนหนึ่ง หรือ ถอดออกทั้งต้นแล้วเปลี่ยนดินใหม่

#โรค และ แมลง.....
- เพลี้ยไฟ เป็นแมลงตัวเล็กแหลมเหมือนเข็ม ซ่อนอยู่ใต้กลีบดอก ทำให้ยอดอ่อนหงิกงอ ดอกด่าง
- ไรแดง เป็นแมลงมุมตัวเล็ก สีเหลืองส้ม อยู่ใต้ใบ ดุดกินน้ำเลี้ยงจนใบซีด ขุ่นมัว
- ใบจุดสีดำ ที่มีขอบพร่า ทำให้ใบเหลืองหลุดร่วง จะเริ่มมีอาการจากใบแก่ที่โคนต้นขึ้นมา
- ราน้ำค้าง เป็นปื้นๆ จุดสีน้ำตาลม่วงเป็นที่ยอดอ่อน ทำให้ใบร่วงตั้งแต่ยังเขียว
- ราแป้ง เหมือนผงสีขาวเหมือนแป้งจับ ใบหงิกพองเหมือนข้าวเกรียบว่าว
ราสีเทา (บอไทรทิส) กลีบนอกจะเหี่ยว และ เป็นรา ดอกไม่ยอมบาน
- แคงเกอร์ ทำให้กิ่งเนแผลวงกลมสีน้ำตาลของเหลือง ส่วนมากเป็นที่โคนกิ่ง กิ่งแก่ ในที่สุดจะลามเหลืองทั้งกิ่ง แห้งดำ และลุกลามจนต้นตาย


#การควบคุมโรค และ แมลง..... ควรพ่นยาอย่างน้อย 10 วันครั้ง
- หนอน และ แมลงปีกแข็ง ใช้ เมโธมิล หรือ ไซเปอร์เมทริน ถ้าไม่ใช้สารเคมีก็ต้องควรจับทิ้งด้วยมือ
- เพลี้ยไฟ ใช้ อิมิดาคลอร์ปิด ถ้าไม่ใช้สารเคมีก็ต้องตัดดอก ทำลายทิ้ง
- ไรแดง ใช้ อะบาแมกติน หรือ ทอร์ค ถ้าไม่ใช้สารเคมีก็ต้องฉีดลางด้วยน้ำใต้ใบ
- โรคใบจุดดำ (ฤดูฝน) ใช้แมนโคแซบ หรือ ดาโคนิล หรือ ไตรโฟไรน์ ถ้าไม่ใช้สารเคมีก็ต้องคลุมด้วยหลังคาพลาสติก
- ราน้ำค้าง (ฤดูหนาว) ใช้เมทาแล็กซิล + แมนโดคเซ็บ ถ้าไม่ใช้สารเคมี ไม่มีข้อแนะนำ
- ราแป้ง (กลางวันร้อน กลางคืนเย็น) ใช้ไตรโฟไรน์ หรือ แอนวิลล์ ถ้าไม่ใช้สารเคมีก็ต้องพ่นด้วยน้ำ
- ราสีเทา ใช้ไตรไฟไรน์ หรือ รอฟรัล ถ้าไม่ใช้สารเคมี ไม่มีข้อแนะนำ
- แคงเกอร์ ไม่มียารักษา ใช้วิธีตัดทิ้งห่างๆจากกิ่งที่เป็นมากๆ

#การฟื้นฟูกุหลาบที่ทรุดโทรม..... โดยเฉพาะต้นที่เป็นโรคใบจุดดำ ใบจะร่วงหมด ทำให้ต้นขาดอาหาร แต่ถ้ายังปล่อยให้ออกดอก จะทำให้ต้นอ่อนแอหนัก วิธีง่ายๆ ให้ตัดดอกทิ้งให้หมด เด็ดยอดอ่อนที่มีใบ 3 ใบชุดทิ้ง รวมถึงมีดอกติดมาทิ้ง หมั่นสังกตว่า ถ้ายอดใหม่ที่ออกมาหลังการเด็ดยังไม่แข็งแรง ก็ต้องเด็ดซ้ำจนว่าจะได้ยอดที่แข็งแรง และควรงดปุ๋ยจนกว่ากุหลาบจะริ่มแตกใบ

ขอขอบคุณที่มา : sites.google.com/site/nalineebuntha/withi-pluk-dxk-kuhlab

วิธีปลูกดอกมะลิ สร้างรายได้


วิธีปลูกดอกมะลิ 
#ดอกมะลิที่เกษตรกรนิยมนำมาปลูกเพื่อจำหน่ายดอกนั้น มี 3 พันธุ์
1.#พันธุ์แม่rกลอง ลักษณะพุ่มต้นใหญ่และทึบ เจริญเติบโตเร็ว ส่วนของใบมีลักษณะใหญ่หนา มีสีเขียวเข้ม รูปใบ ค่อนข้างกลม ปลายใบมน ดอกมี
ลักษณะใหญ่และกลม แต่ให้ผลผลิตดอกไม่ดก
2.#พันธุ์ราษฎร์บูรณะ ลักษณะพุ่มเล็กกว่า ค่อนข้างทึบ ใบมีลักษณะเล็กบาง สีเขียวเข้ม รูปใบเรียว ดอกมีลักษณะเล็กเรียงแหลม ดอกค่อนข้างดอก และทยอยให้ดอก
3.#พันธุ์ชุมพร มีลักษณะทรงต้นคล้ายพันธุ์ราษฎร์บูรณะ แต่โปร่งกว่าเล็กน้อย ใบมีลักษณะคล้ายพันธุ์ราษฎร์บูรณะ แต่เรียวกว่า สีอ่อนกว่าและบางกว่า ดอกมีลักษณะเล็กเรียวแหลม ดอกจะดอกมากแต่ทิ้งระยะห่าง ให้ผลผลิตเป็นช่วง ๆ

วิธีปลูกดอกมะลิ เครดิตภาพ : .kasetnumchok.com
เพราะว่า 3 พันธุ์นี้ปลูกและดูแลรักษาง่าย ให้ผลผลิตค่อนข้างดี การปลูกแค่นำกิ่งมาปักชำก็สามารถใช้เป็นกล้าพันธุ์นำมาปลูกได้แล้ว
การเตรียมพื้นที่ปลูกดอกม
ะลิ ดินที่เหมาะแก่การปลูกต้องเป็นดินร่วนปนทราย
#วิธีการเตรียมพื้นที่มีดังนี้

1.ไถเตรียมดินและไถดะ
2.ไถยกร่อง
3.โรยปูนขาวผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
4.ตากดินไว้ให้แห้งประมาณ 15 วัน
5.ขึ้นแปลงปลูกกว้างประมาณ 2 เมตร ความสูงต้องพ้นระดับน้ำ ไม่ให้น้ำท่วมถึง
6.ขุดหลุมพอประมาณ ไม่ลึกมาก
7.ลองก้นหลุมปลูกด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักคลุกเคล้าให้เข้ากับดิน
8.นำกล้าพันธุ์ลงปลูก เสร็จแล้วกลบดิน
9.นำฟางข้างมาคลุมบริเวณโคนต้นให้ทั่วแปลง เพื่อเป็นการรักษาความชื้นของดินและป้องกันวัชพืช

#การดูแลรักษา : เมื่อปลูกได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ต้นก็จะเริ่มติดราก หลังจากนั้นประมาณ 15 วัน ก็จะเริ่มแตกใบระยะนี้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ประมาณ 1 กำมือ ตรงบริเวณรอบต้น จากนั้นก็ให้น้ำ คอยดูแลเรื่องวัชพืช
หลังจากนั้นอีกประมาณ 20 วันต้นจะสูงขึ้นประมาณ 1 คืบ ให้ใส่ปุ๋ยสูตรเดิมอีกครั้ง 15-15-15 ประมาณ 1 กำมือ หลังจากนั้นรดน้ำใส่บริเวณทรงพุ่มให้ทั่ว หรือเกษตรกรต้องการลดต้นทุนอาจมีการสลับกับปุ๋ยหมักชีวภาพหรือสารเร่ง พด.2 รด หรือฉีดทุก 10 วัน ก็สามารถทำได้

#การผลิตปุ๋ยใช้เองเป็นการลดต้นทุน สลับกับปุ๋ยเคมี โดยการนำ สับปะรด ผลไม้สุกที่หาได้ในชุมชนมาหมักเป็นปุ๋ยอินทรีย์น้ำ พด.2 ซึ่งมีวัสดุ ที่เตรียมดังนี้

1.ผลไม้สุก สับหรือหั่น 3 ส่วน
2.กากน้ำตาล 1 ส่วน
3.สารเร่งซุปเปอร์ พด.2 ซอง
นำทุกอย่างที่ได้มาร่วมกันแล้วหมักในถังขนาด 50 ลิตร ปิดฝาไม่ต้องสนิทเก็บไว้ในที่ร่ม ในระหว่างการหมัก คนหรือกวน 1-2 ครั้ง/วัน เพื่อเป็นการระบายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และทำให้ส่วนผสมคลุกเคล้าได้ยิ่งขึ้น

#การนำไปใช้ ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ 1 ลิตร เจือจางด้วยน้ำ 500 ลิตร ในพื้นที่ 5 ไร่ ฉีดพ่นหรือลดลงดินทุก 10 วัน เร่งการออกดอกและเจริญเติบโตของต้นพืช

#เทคนิคในการบังคับการออกดอกของดอกมะลิในช่วงฤดูหนาว เพราะส่วนใหญ่แล้วดอกมะลิจะไม่ให้ดอกในช่วงนี้ แต่วีธีการง่ายๆ ซึ่งทำได้โดยการตัดแต่งกิ่ง ซึ่งเกษตรต้องทราบถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการตัดแต่งกิ่ง ดอกมะลิจะมีช่วงเวลาตั้งแต่เก็บดอกจนถึงตากิ่งเจริญให้ดอกใหม่ ใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์ ถ้าต้องการให้ดอกมะลิออกดอกในช่วงช่วงใดให้ย้อนหลังไปประมาณ 6 สัปดาห์ และถ้าต้องการให้มะลิออกดอกในฤดูหนาวหรือเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ต้องมีการตัดแต่งกิ่งในเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน

#การตัดแต่งกิ่งเพื่อบังคับมะลิออกดอกนอกฤดู มี 2 แบบด้วยกันคือ
1.การตัดแต่งกิ่งแบบเหลือกิ่งไว้กับต้นยาว ซึ่งจะเหมาะกับต้นมะลิที่มีอายุน้อย จะมีการตัดกิ่งออกเพียงเล็กน้อยเหลือแต่กิ่งที่สมบูรณ์ไว้
2.การตัดแต่งแบบที่เหลือกิ่งไว้กับต้นสั้น เหมาะกับต้นที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปี ขึ้นไป จะตัดออกให้กิ่งที่เหลือค่อยข้างสั้นและเหลือกิ่งไว้แค่ 3-4 กิ่งเท่านั้น หลังจากที่มีการตัดแต่งกิ่งเรียบร้อยแล้ว ต้องมีการให้น้ำและให้ปุ๋ย เพื่อให้ต้นมะลิมีความสมบูรณ์

ขอขอบคุณข้อมูล : คุณทองพันธ์ , rakbankerd.com

วิธีปลูกมะเขือยาว

วิธีปลูกมะเขือยาว 


การเพาะเมล็ดพันธุ์

วิธีปลูกมะเขือยาว  เครดิตภาพ : tv5.co.th
1.นำเมล็ดพันธุ์มะเขือยาวมาแช่ในน้ำซึ่งใช้สาหร่ายผงในอัตราส่วนกรัม10กรัม/น้ำ20ลิตร+ เชื้อราไตรโครเดอร์มา 200ซีซี/น้ำ20ลิตร +สารจับใบสำหรับชีวภัณฑ์ 2ซีซี/น้ำ20ลิตร ทิ้งไว้1คืนเพื่อส่งเสริมให้การงอกของเมล็ดและสำคัญยิ่งกว่าคือกำจัดเชื้อโรคพืชที่ติดมากับเมล็ดพันธุ์ส่งเสริมให้มะเขือยาวมีความต้านทานโรคพืชมากกว่าปกติ


2. เทคนิคการเพาะที่ทำให้ต้นกล้าแข็งแรงสมบูรณ์ก่อนย้ายปลูกจะต้องเพาะเมล็ดให้งอกก่อนในวัสดุเพาะอย่างอื่น พีทมอสและขุยมะพร้าว โดยใช้ถาดหลุมเป็นที่เพาะเมล็ดเกลี่ยวัสดุเพาะให้เต็มหลุมถาดเพาะ ฝังเมล็ดมะเขือยาว 1/4 นิ้วลึก เกลี่ยกลบด้วยวัสดุเพาะการงอกของกล้ามะเขือยาวต้องการอุณหภูมิดินประมาณ 26.6-32.2 องศา C รดน้ำโดยใช้หัวสเปรย์ละเอียดให้ละอองน้ำเพื่อให้วัสดุเพาะชื้นเมล็ดจะงอกใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน หลังจากนั้น ในวัสดุเพาะสำเร็จรูปที่อยู่ในถาดเพาะใช้เวลาอีก 14-15 วันจึงนำต้นกล้าย้ายปลูกได้ต้นกล้าที่จะย้ายลงปลูกในแปลงควรมีอายุการเพาะประมาณ1เดือนจึงย้ายไปปลูก ซึ่งต้นกล้าจะต้องมีใบ 6-7 และความสูง 10-12ซม. สูงส่วนต้นกล้าที่เล็กและอ่อนแอให้เกษตรกรถอนทิ้งไม่ต้องนำไปปลูก

การเตรียมดินปลูก ควรพิจารณาความแตกต่างตามสภาพของดินและระดับน้ำดังนี้ คือ
1. การเตรียมดินสำหรับพื้นที่ปลูกลาดเอียง ควรขุดหรือไถดินให้ลึกประมาณ 15 ซม. ตากดิน 5-7 วัน ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่สลายตัวแล้วประมาณ 20 กก. ต่อเนื้อที่5 ตารางเมตร ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา200ซีซี/น้ำ20ลิตรและสารสกัดฮิวมิคผงผสมน้ำฉีดพ่นให้ทั่วแปลงปลูกเพื่อป้องกันเชื้อราโรคพืชที่อยู่ในดินจากนั้น พรวนย่อยผิวหน้าดินให้ละเอียด
ปุ๋ยที่ใช้ในการโรยแปลงหลีกเลี่ยงการใช้ขี้วัวกินหญ้าที่ปล่อยเลี้ยงตามทุ่งเนื่องจากมีเมล็ดหญ้ามากจะก่อปัญหาให้กับเกษตรกรในอนาคตในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ควรเอามาหมักกับพ.ด.1เสียก่อน
2. การเตรียดปลูกในเขตน้ำฝน ต้องพิจารณาเลือกที่ซึ่งระบายน้ำได้ดี การกำหนดแถวปลูกให้กำหนดแถวคู่ห่างกัน 2 ม. และให้ระยะระหว่างแถวห่างกัน 1 ม. ระยะระหว่างต้น 1 X 1 ม. เมื่อเตรียมแปลงปลูกแล้วให้ใส่ปุ๋ยหมักหรือขี้วัวขุนหรือขี้หมูเนื้อ ในอัตราไร่ละ 1,200 – 3,000 กก. ทำการคลุกปุ๋ยคอกให้เข้ากับดินแล้วใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ในอัตรา 50 กก. ต่อไร่ ในการปลูกพืชที่ต้องการปริมาณน้ำหรือพืชชอบน้ำนั้นเกษตรกรต้องทำการยกร่องแปลงเสมอเพื่อป้องกันน้ำขังบริเวณโคนต้น

การติดตั้งระบบน้ำในแปลงมะเขือยาว
เมื่อเกษตรกรเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วก็เริ่มการปลูกโดยก่อนปลูก1วันให้เกษตรกรรดน้ำในแปลงปลูกให้เกิดความชื้นในชั้นดิน ขุดหลุมขนาด 30x30เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพผสมกับฮิวมิคผง+ปุ๋ยเคมี24-7-7 (1ช้อนชา) ใส่ลงไปในหลุมปลูกมะเขือยาวสูงขึ้นมาจากก้นหลุม10-15เซนติเมตร ตอกหลักไม้ไผ่รวกที่มีความยาว1-1.5เมตร ลงไปในกลางหลุม
เมื่อเตรียมหลุมปลูกพร้อมแล้วให้เกษตรกรทำการย้ายถาดเพาะลงไปในแปลงปลูก ปลูกแล้วกลบด้วยดินผสมกับปุ๋ยหมักในอัตราส่วนดิน2:ปุ๋ยหมัก1ส่วนจากนั้นทำการผูกต้นกล้ามะเขือยาวกับหลักเลือกใช้เชือกยางยืดหรือเศษผ้าเนื่องจากกล้ามะเขืออ่อนและหักง่ายเมื่อเจอลมแรง ในกรณีที่ไม่ผูกมัดต้นจะเอียงและล้มไม่ตั้งตรงเมื่อติดผลจะหักและผลของมะเขือยาวจะตั้งพื้นทำให้รูปร่างไม่สวยราคาไม่ดี หลักจากปลูกแล้วทำการเปิดระบบน้ำรดน้ำให้ชุ่มชื้นทั้งแปลง

ขอขอบคุณที่มา : www.kasetkawna.com