วิธีเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย สร้างรายได้

วิธีเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย สร้างรายได้ 




1. เตรียมดินให้เรียบ พลิกหน้าดินตากแดดไว้ 3-4 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรค

2. การเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ยใช้ได้ทั้งตอซังและปลายฟางถ้าเป็นตอซังแช่น้ำพออ่อนตัวก็นำมาเพาะได้ ปกติประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นปลายฟางแข็ง ๆ ควรแช่น้ำประมาณ 1-2 วัน หรือจุ่มน้ำแล้วนำมากองสุมกันไว้ประมาณ 1 คืน ให้อิ่มตัวนิ่มดีเสียก่อนจึงจะใช้ได้ดี ถ้าเป็นผักตบชวาหรือต้นกล้วยจะสับหรือไม่สับก็ได้ แต่ต้องแช่น้ำพอนิ่ม ปกติแช่น้ำประมาณ 1-2 ชั่วโมง แล้วนำมาใช้กองได้เลย
3. หลังจากแช่น้ำวัสดุที่จะใช้เพาะได้ที่แล้ว ให้นำวัสดุที่ใช้เพาะนั้น ใส่ลงในกะบะไม้ที่วางเอาด้านกว้างซึ่งมีลักษณะป้านลงสัมผัสพื้น ให้ด้านแคบอยู่ข้างบนใส่ให้สูงประมาณ 4-6 นิ้ว ถ้าเป็นตอซังให้วางโคนตอซังหันออกด้านนอก ส่วนปลายอยู่ด้านในใช้มือกดฟางให้แน่นพอสมควร แต่ถ้าเป็นปลายฟางควรขึ้นไปย่ำพร้อมทั้งรดน้ำให้ชุ่ม ข้อควรระวังอย่าให้แฉะหรือแห้งจนเกินไป
4. นำอาหารเสริมที่ชุบน้ำแล้วโรยเป็นแถบกว้างประมาณ 2 นิ้ว รอบ ๆ ด้านทั้งสี่ด้านหนาประมาณ 1 นิ้ว
5. แบ่งเชื้อเห็ดฟางจากถุงซึ่งปกติเชื้อเห็ดฟาง 1 ถุง หนักประมาณ 200 กรัม ออกเป็น 3-4 ส่วน เท่า ๆ กันจากนั้นโรยเชื้อเห็ดฟาง 1 ส่วน โดยโรยลงบนอาหารเสริมให้ทั่วและชิดกับขอบของแบบไม้ทั้งสี่ด้านก็เป็นการเสร็จชั้นที่ 1
6. ทำชั้นที่ 2 และ 3 หรือ 4 ต่อไปก็ทำเช่นเดียวกับชั้นที่ 1 ทุกอย่าง เมื่อทำมาถึงขั้นสุดท้าย ให้โรยอาหารเสริมและเชื้อเห็ดให้เต็มทั่วหลังแปลง
7. นำฟางที่แช่น้ำมาปิดทับให้หนา 1-2 นิ้ว แล้วเอาแบบไม้ออกโดยใช้มือข้างหนึ่งกดกองฟางไว้และทำกองอื่นต่อ ๆ ไป
8. ทำกองอื่น ๆ ต่อไปให้ขนานกบกองแรก โดยเว้นระยะห่างประมาณ 6-12 นิ้ว
9. ช่องว่างระหว่างกองแต่ละกองสามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ในการเพิ่มผลผลิตได้อีก โดยอาจจะโรยเชื้อเห็ดฟางลงไปบนช่องว่างระหว่างกอง เพราะบริเวณนี้ก็สามารถทำให้เกิดดอกเห็ดได้ จากนั้น รดน้ำดินรอบ ๆ กองให้เปียกชื้น
10. คลุมกองฟางด้วยผ้าพลาสติก โดยใช้ 2 ผืนเกยทับกันตรงกลางคลุมให้สูงกว่ากองฟางเล็กน้อยโดยคลุมเป็นแถว ๆ ถ้าอากาศร้อน ให้คลุมห่าง อากาศเย็นให้คลุมชิดหรืออาจคลุมติดกองเลย ในกรณี อากาศเย็นจัด การคลุมพลาสติกเป็นเรื่องสำคัญที่แต่ละแห่งในแต่ละ ฤดูจะต้องดัดแปลงไปตามความต้องการของเห็ด คือ ช่วงระยะแรก ราววันที่ 1-2 เชื้อเห็ดต้องการอุณหภูมิประมาณ 35-38 ํซ. และ ในวันต่อ ๆ มาต้องการอุณหภูมต่ำลงเรื่อย ๆ จนราววันที่ 8-10 ซึ่ง เป็นวันที่เก็บผลผลิตนั้นต้องการอุณหภูมิราว 30 องศาเซลเซียส
11. นำฟางแห้งมาคลุม ทับผ้าพลาสติกอีกครั้งหนึ่งจนมิดเพื่อป้องกันแสงแดด แล้วใช้ของหนัก ๆ ทับปลายผ้าให้ติดพื้นกันลมตี


การดูแลรักษา 
1. การดูแลรักษากองเห็ด ให้ใช้ผ้าพลาสติกใสหรือสีก็ได้ ถ้า เป็นผ้าพลาสติกยิ่งเก่าก็ยิ่งดีคลุม แล้วใช้
ฟางแห้งคลุมกันแดดกันลม ให้อีกชั้นหนึ่ง ควรระวังในช่วงวันที่ 1-3 หลังการกองเพาะเห็ด ถ้า ภายในกองร้อนเกินไปให้เปิดผ้าพลาสติกเพื่อระบายความร้อนที่ร้อน จัดจนเกินไป และให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกขึ้น ดูแลให้ดีก็จะเก็บ ดอกเห็ดได้ประมาณในวันที่ 8-10 โดยไม่ต้องรดน้ำเลย ผลผลิต โดยเฉลี่ยจะได้ดอกเห็ดประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อกอง
2. การตรวจดูความร้อนในกองเห็ด โดยปกติเราจะรักษา อุณหภูมิในกองเห็ดโดยเปิดตากลม 5-10 นาที แล้วปิดตามเดิม ทุกวันเช้าเย็น ถ้าวันไหนแดดจัดอุณหภูมิสูงความร้อนในกองเห็ดมาก ก็ควรเปิดชายผ้าพลาสติกให้นานหน่อย เพื่อระบายความร้อนใน กองเห็ด วิธีตรวจสอบความชื้นทำได้ไดยดึงฟางออกจากกองเพาะ แล้วลองบิดดู ถ้าน้ำไหลออกมาเป็นสายแสดงว่าแฉะไป แต่ถ้ากองฟาง แห้งไปเวลาบิดจะไม่มีน้ำซึมออกมาเลย ถ้าพบว่ากองเห็ดแห้งเกินไปก็ควรเพิ่มความชื้นโดยใช้บัวรดน้ำเป็นฝอยเพียงเบา ๆ ให้ชื้น หลังจากทำการเพาะเห็ดประมาณ 1อาทิตย์ จะเริ่มมีตุ่มดอกเห็ดสีขาว เล็ก ๆ ในช่วงนี้ต้องงดการให้น้ำโดยตรงกับดอกเห็ด ถ้าดอกเห็ด ถูกน้ำในช่วงนี้ดอกเห็ดจะฝ่อและเน่าเสียหาย ให้รดน้ำที่ดินรอบกอง


การเก็บเห็ดฟาง 
เมื่อกองฟางเพาะเห็ดไปแล้ว 5-7 วัน จะเริ่มเห็นตุ่มสีขาวเล็ก ๆ เกิดขึ้น ตุ่มสีขาวเหล่านี้จะเจริญเติบโต
เป็นเห็ดต่อไป เกษตรกรจะเริ่มเก็บเห็ดได้เมื่อเพาะไปแล้วประมาณ 7-10 วัน แล้วแต่ความร้อน และการที่จะเก็บเห็ดได้เร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับวิธีการเพาะและฤดูกาล คือ ฤดูร้อนและฤดูฝนจะเก็บเห็ดได้เร็วกว่าฤดูหนาว เพราะความร้อน ช่วยเร่งการเจรญเติบโตของเห็ด นอกจากนั้นถ้าใส่อาหารเสริมด้วยแล้ว จะทำให้เกิดดอกเห็ดเร็วกว่าไม่ใส่อีกด้วย ดอกเห็ดที่ขึ้นเป็นกระจุก มีทั้งอ่อนและแก่ ถ้ามีดอกเล็ก ๆ มากกว่าดอกใหญ่ ควรรอเก็บเมื่อดอกเล็กโตหรือรอเก็บชุดหลัง เก็บดอกเห็ดขึ้นทั้งกระจุกโดยใช้มือจับ ทั้งกระจุกอย่างเบาๆ แล้วหมุนซ้ายและขวาเล็กน้อย ดึงขึ้นมาพยายามอย่าให้เส้นใยกระทบกระเทือน


ขอบคุณที่มา : myveget.com

วิธีปลูกพริกไทย สร้างรายได้

วิธีการปลูก การเตรียมกิ่งพันธุ์ ทำได้ 2 วิธี คือ 

1. ตัดจากค้างที่สมบูรณ์ เหนือพื้นดิน 50 เซนติเมตร ตัดเป็นท่อนยาว 5-6 ข้อ ตัดกิ่งแขนง ข้อที่ 1-3 ดอก แล้วนำไปปลูกหลุมละ 20 กิ่ง

2. นำกิ่งพันธุ์ที่ตัดเป็นท่อนแล้ว ปักชำในถุงพลาสติก ขนาด 9x14 นิ้ว ประมาณ 2-3 เดือน พริกไทยจะงอกรากและแตกยอด จึงย้ายปลูกในแปลง




ระยะปลูก 

- พันธุ์ซาราวัค (มาเลเซีย) ใช้ระยะ 2x2 เมตร
- พันธุ์ซีลอน ใช้ระยะปลูก 2.25 x 2.25 หรือ 2.25 x 2.5 เมตร


การปักค้าง

ใช้ค้างไม้แก่นหรือค้างปูนซีเมนต์ ขนาด 4x4x4 เมตร ฝังลึก 50-60 เซนติเมตร กลบดินให้แน่น หลังจากนั้น ขุดหลุมขนาด 40x50 เซนติเมตร ลึก 40 เซนติเมตร ค้างละ 1 หลุม ห่างจากโคนค้าง 15 เซนติเมตร ผสมดินกับปุ๋ยอินทรีย์แท้ เกรด AAA ตรายักษ์เขียว สูตร 2 (แถบเขียว) อัตรา (ดิน)3 : (ยักษ์เขียว)1 แล้วใส่ในหลุมประมาณครึ่งหลุม นำยอดพันธุ์ที่เตรียมไว้ปลุกหลุมละ 2 กิ่ง ให้ปลายยอดเอนเข้าหาค้าง กลบดินให้แน่นรดน้ำให้ชุ่ม ใช้วัสดุพลางแสง ประมาณ 3-4 เดือน หรือจนกว่าพริกไทยจะตั้งตัวได้


การดูแลรักษา 

การตัดแต่ง 
ปีที่ 1 เหลือยอดที่สมบูรณ์ไว้ ค้างละ 4-6 ยอด ใช้เถาวัลย์หรือเชือกฟางผูกยอด ให้แนบติดกับค้างโดยผูกขอเว้นข้อ จนกระทั่งพริกไทยอายุ 1 ปี ตัดเถาให้เหลือ 50 เซนติเมตร จากระดับผิวดิน

ปีที่ 2 ตัดแต่งเช่นเดียวกับปีแรก จนกว่าพริกไทยจะสูงเลยค้างไปประมาณ 30 เซนติเมตร ให้ผูกไว้บนยอดค้าง และใช้เชือกไนล่อนผูกทับเถาวัลย์เดิมเป็นเปลาะ ๆ ห่างกัน 40-50 เซนติเมตร

ปีที่ 3 ตัดไหลและปรางบริเวณโคนต้น ปลิดใบที่ลำต้นออก เพื่อให้โคนโปร่ง ถ้าพริกไทยยังไม่ถึงยอดค้าง เด็ดช่อดอกออกให้หมด เพราะจะทำให้พริกไทยเจริญเติบโตช้า


การใส่ปุ๋ย
ช่วงแรกใส่ ปุ๋ยอินทรีย์แท้ เกรด AAA ตรายักษ์เขียว ปีละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 400-500 กรัม/ค้าง แบ่งใส่เดือนละ 1 กำมือต่อต้น ในกรณีที่ดินมีสภาพเป็นกรด ให้ผสม สารปรับสภาพดิน ไดนาไมท์ ชนิดน้ำ สามารถปล่อยไปกับการให้น้ำ อัตรา 500 ซีซีต่อ 2 ไร่ ทุก ๆ 2-3 เดือน

การให้ปุ๋ยอาจให้ปุ๋ยตามเกณฑ์ดังนี้ 

ปีที่ 1 สูตร 15-15-15 อัตรา 400-500 กรัม(3-5 กำมือ)/ค้าง หรือ สูตร 15-15-15 อัตรา 100 กรัม(1 กำมือ) + ยักษ์เขียว เกรด AAA อัตรา 400 กรัม(2-3 กำมือ)

ปีที่ 2 สูตร 15-15-15 อัตรา 800-1,000 กรัม(4-5 กำมือ)/ค้าง แบ่งใส่ 3-4 ครั้ง หรือ สูตร 15-15-15 อัตรา 200 กรัม(1 กำมือ) + ยักษ์เขียว เกรด AAA อัตรา 800 กรัม(4-5 กำมือ)

ปีที่ 3 และปีต่อ ๆ ไป ครั้งที่ 1 ใช้ปุ๋ยอินทรีย์แท้ เกรด AAA ตรายักษ์เขียว สูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) อัตรา 800 กรัม/ค้าง ใส่หลังเก็บเกี่ยว

ครั้งที่ 2 ใช้ปุ๋ยอินทรีย์แท้ เกรด AAA ตรายักษ์เขียว สูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) อัตรา 500 กรัม(3 กำมือ)/ค้าง ประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน

ครั้งที่ 3 สูตร 15-15-15 อัตรา 100-200 กรัม/ค้าง+ ปุ๋ยอินทรีย์แท้ เกรด AAA ตรายักษ์เขียวอัตรา 400 กรัม(2-3 กำมือ)ประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม


การฉีดพ่นปุ๋ยทางใบ 
ใช้ ไบโอเฟอร์ทิล สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง (ฝาแดง) อัตรา 20-30 ซีซี + อาหารรองและเสริม “คีเลท” อัตรา 5 กรัม ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 15 วัน จะทำให้พริกไทยมีผลผลิตเพิ่มขึ้นมากกว่า 200% และช่วยป้องกันการเข้าทำลายของแมลงศัตรูพืชได้ดี ช่วยลดต้นทุนสารเคมีได้กว่า 50% ช่วงฤดูฝนแนะนำให้ผสม สารจับใบสูตรเข้มข้น “จีแอล” อัตรา 5 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อป้องกันการชะล้างจากน้ำฝน ทำให้ใบพืชดูดซึมได้รวดเร็ว มากกว่าและนานกว่า


หมายเหตุ การใส่ปุ๋ยเคมีเป็นประจำ บ่อย ๆ จะทำให้ดินเสื่อมสภาพเร็ว และอายุการให้ผลผลิตของต้นพริกไทยสั้นลง ดังนั้น แนะนำ ให้ลดการใช้ปุ๋ยเคมีลง โดยผสมปุ๋ยอินทรีย์ ตรายักษ์เขียว กับปุ๋ยเคมี ในอัตรา ยักษ์เขียว 4 ส่วน : ปุ๋ยเคมี 1 ส่วน ในทุกครั้งของการใส่ที่แนะนำข้างต้น เพื่อลดต้นทุน โดยที่ผลผลิตได้มากกว่า เนื่องจาก ยักษ์เขียว จะปลดปล่อยปุ๋ยให้รากพืชได้อย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า ช่วยในการปรับสภาพดิน และ และยังช่วยดูดซับลดการสูญเสียของปุ๋ยเคมีในแต่ละรอบของการใส่ ลดต้นทุนได้ประมาณ 20-50% ต่อรอบการผลิต


การให้น้ำ 
ควรให้แบบมินิสปริงเกอร์ mini sprinkler ระยะเวลาการให้น้ำ หลังปลูกควรรดน้ำทุกวันหรือวันเว้นวัน เมื่อพริกไทยตั้งตัวได้ ลดเหลือ 2-3 วัน/ครั้ง พริกไทยที่ให้ผลผลิตแล้วควรให้ 3-4 วัน/ครั้ง ตามสภาพดินฟ้าอากาศ


แมลงที่สำคัญ 
มวนแก้ว วางไข่เป็นกลุ่ม ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดน้ำเลี้ยงจากช่อดอก ทำให้ช่อดอกแห้งเป็นสีน้ำตาล ไม่ติดเมล็ด ผลผลิตลดลง ป้องกันโดยการเก็บตัวอ่อนเผาทำลาย และใช้ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) ตามคำแนะนำเป็นประจำ ถ้าระบาดรุนแรงฉีดพ่นด้วย ชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืช เมทาแม็ก อัตราตามฉลากระบุ

ด้วงงวงเจาะเถาพริกไทย ตัวอ่อนเจาะทำลายเถาพริกไทย ทำให้เถาแห้งตาย ส่วนตัวเต็มวัยจะกันกินใบและผลพริกไทย ป้องกันโดยเผาทำลาย เถาพริกไทยที่พบรอยเจาะของหนอนด้วงงวง ป้องกันโดยการใช้ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) ตามคำแนะนำเป็นประจำ ถ้าเริ่มพบการระบาด ฉีดพ่นด้วย ชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืช เมทาแม็ก อัตราตามฉลากระบุ

เพลี้ยอ่อน ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณยอดอ่อน ใบอ่อน ช่อดอก และผลอ่อน ทำให้ใบและยอดแคระแกรน บิดงอ ไม่ติดเมล็ด ป้องกันโดยเก็บทำลาย หรือฉีดพ่นด้วย ชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืช เมทาแม็ก อัตราตามฉลากระบุ

เพลี้ยแป้ง ตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากช่อดอก ใบ และเถาพริกไทย เพลี้ยแป้งจะขับถ่ายมูลเป็นน้ำหวาน จึงพบว่ามดเป็นตัวพาเพลี้ยแป้งไปปล่อยยังส่วนต่าง ๆ ของต้นพืช ป้องกันโดยฉีดพ่นด้วย ชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืช เมทาแม็ก ร่วมกับ สารจับใบเข้มข้น จีแอล และป้องกันมดซึ่งเป็นพาหะด้วยการใช้ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) ตามคำแนะนำเป็นประจำ


โรคที่สำคัญ 
โรครากเน่า เกิดจากเชื้อรา อาการระยะแรกเถาจะเหี่ยวในเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและร่วง ต่อมาปราง (กิ่งแขนง) เริ่มหลุดเป็นข้อ ๆ ตั้งแต่โคนต้นถึงยอดขั้วกิ่งเป็นสีเหลืองและดำ ส่วนรากเน่าดำและมีกลิ่นเหม็น ป้องกันโดยอย่าให้น้ำขังในฤดูฝน เผาทำลายต้นที่เป็นโรค และใช้ ชีวภัณฑ์กำจัดเชื้อรา “ไตรโคแม็ก” อัตรา 50-100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ราดหรือฉีดพ่นที่ผิวดินเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน

โรครากขาว เกิดจากเชื้อรา ใบเหลืองและร่วง พบเส้นใยสีขาวปกคลุมที่รากบางส่วน ป้องกันโดยเผาทำลายส่วนที่เป็นโรคเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด โดยใช้ ชีวภัณฑ์กำจัดเชื้อรา “ไตรโคแม็ก” อัตรา 50-100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ราดหรือฉีดพ่นที่ผิวดินเป็นประจำถ้าระบาดรุนแรงใช้ควินโตซีน ผสมน้ำราดหรือฉีดพ่น

โรครากปม เกิดจากไส้เดือนฝอยรากปม เข้าทำลายที่รากฝอย เกิดเป็นปมเห็นได้ชัดเจน นอกจากนี้ทำให้ผนังเซลล์เป็นแผล เป็นสาเหตุให้โรคอื่น ๆ เข้าร่วมทำลายได้ง่าย ป้องกันโดยคลุมดินก้นหลุมก่อนปลูกด้วย ชีวภัณฑ์กำจัดไส้เดือนฝอย ”พีแม็ก” อัตรา 50 กรัมต่อหลุม และใช้อัตรา 50 กรัมผสมน้ำ 20 ลิตร ราดรอบทรงพุ่มในช่วงต้นและปลายฤดูฝนปีละ 1-2 ครั้ง

โรคแอนแทรกโนส เกิดจากเชื้อรา ทำลายส่วนใบของพริกไทย เกิดเป็ดจุดวงกลมสีน้ำตาลดำหรือสีดำ ผิวเป็นเงามัน รอบจุดเป็นสีเหลือง ตรงกลางแผลมีลักษณะเป็นวงสีน้ำตาลดำเรียงซ้อนกันเหมือนวงปีของเนื้อไม้ ถ้าเป็นรุนแรงอาจทำให้ตายได้ ป้องกันโดยตัดแต่งกิ่งและเก็บไปเผาทำลาย และใช้ชีวภัณฑ์กำจัดเชื้อรา “ไตรโคแม็ก” ฉีดพ่นเป็นประจำในช่วงฤดูฝนหรือช่วงที่น้ำค้างแรง หรืออาจพ่นด้วยเบนโนมิล หรือแมนโคเซบ หรือคาร์เบนดาซิม อัตราตามฉลาก

โรคราเห็ดพริกไทย เกิดจากเชื้อราเป็นเส้นใยสีขาวเจริญบนผิวเปลือกของลำต้น กิ่ง และใต้ใบ ทำให้ลำต้น กิ่งใบ แห้ง และตายได้ ป้องกันโดยอย่าให้น้ำท่วมขัง ตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง และพ่นด้วยคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ 85% WP


การเก็บเกี่ยว 
ระยะเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม

- บริโภคสด หลังพริกไทยติดผล 3-4 เดือน

- ส่งโรงงานทำพริกไทยดอง หลังติดผล 4-5 เดือน

- ทำพริกไทยดำ เก็บเมื่อพริกไทยยังเขียวอยู่ หลังติดผล 6-8 เดือน

- ทำพริกไทยขาว เก็บเมื่อผลเริ่มสุกเป็นสีแดง หลังติดผล 6-8 เดือน

ข้อสังเกตและเปรียบเทียบหลังจากใช้ไบโอเฟอร์ทิล และปุ๋ยอินทรีย์ ตรายักษ์เขียว ตามคำแนะนำ เป็นประจำ 

1. ต้นพริกไทยสมบูรณ์ สามารถให้ผลผลิตมาก ดอกติดดก, ขั้วเหนียวและ ต้นจะมีอายุยืนกว่าสวนที่ไม่ได้ใช้

2. เมื่อใช้เป็นประจำ (3-4 ครั้งขึ้นไป) จะสังเกตได้ว่าแมลงศัตรูพืชที่เข้ามารบกวนลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะจำพวกผีเสื้อกลางคืนซึ่งเป็นตัวแม่ของหนอนชนิดต่าง ๆ รวมถึงด้วงกัดกินใบ ทำให้ประหยัดต้นทุนยากำจัดศัตรูพืช และลดความเสียหายได้ดีกว่า (ในพื้นที่ที่มีการระบาดมาก หากใช้ไบโอเฟอร์ทิล ฉีดร่วมกับยากำจัดศัตรูพืช ก็จะทำให้สามารถคุมและป้องกันการเข้าทำลาย ได้นานขึ้น)

3. ใบพืชจะเขียวเงาเป็นมัน อายุใบนานขึ้นทำให้ต้นไม่สูญเสียอาหารในการสร้างใบใหม่ (ไบโอเฟอร์ทิล เป็นสารธรรมชาติ ไม่กัดผิวใบทำให้ใบด้านเหมือนการใช้เคมีอย่างเดียว)

4. สุขภาพผู้ปลูกดีขึ้น เนื่องจาก สัมผัสหรือจับต้องสารเคมีน้อยลง

5. เมื่อใช้ร่วมกับ ปุ๋ยอินทรีย์ ตรายักษ์เขียว จะสามารถลดต้นทุน การใช้ปุ๋ยลงอีกประมาณ 20-50%


6. การใช้ ปุ๋ยอินทรีย์ “ยักษ์เขียว” ร่วมด้วยเป็นประจำ จะทำให้ต้นทุนปุ๋ยและสารทางดินต่อชุดการผลิต ลดลงได้ประมาณ 30-50 % โดยที่ผลผลิตที่ได้ยังเป็นปกติหรือดีกว่าเดิม และสังเกตได้ว่าสารอินทรีย์ในเนื้อปุ๋ยทำให้สภาพดินดีขึ้น ดินโปร่ง อุ้มน้ำได้ดี ต้นทนแล้งได้ดีขึ้น และพืชตอบสนองต่อการให้ปุ๋ยทางดินดีกว่าเดิม ในระยะยาวปัญหาเรื่องโรคทางดินน้อยกว่าแปลงข้างเคียงที่ไม่ได้ใช้ ผลในทางอ้อม เนื่องจาก ยักษ์เขียว เป็นสารอินทรีย์แท้ จึงกระตุ้นจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ให้ย่อยปุ๋ย(เคมี)ที่ตกค้างในดินทำให้รากพืชสามารถดูดซึมกลับไปใช้ได้ ธาตุอาหารในดินจะสมดุลมากกว่า

ขอบคุณที่มา : myveget.com

วิธีปลูกแครอท และการดูแลรักษา สร้างรายได้หรือปลูกกินเอง

วิธีปลูกแครอท และการดูแลรักษา สร้างรายได้หรือปลูกกินเอง 

การเตรียมแปลง 

1. ขุดดินให้มีความร่วนซุยและลึก ประมาณ 1 ฟุต
2. ไถพรวนผสมดินกับป๋ยหมักชีวภาพประมาณ 2 กก.ผสมแกลบดำ 1 ถุง อาหารสัตว์ต่อ 1 ตร.ม.
3. ดินไม่ควรมี กรวด หิน เศษไม้ จะทำให้หัวแครอท คด งอ




การปลูกและการดูแลรักษา 

1. แปลงกว้าง 1 เมตร ปลูกได้ 3 แถว ใช้ไม้ขีดเป็นร่องเล็ก ๆ ตามแนวยาวของแปลง ควรผสมทราย แล้วนำมาหยอด
กลบด้วยแกลบดำ หรือ ดินละเอียด คลุมฟางบาง ๆ รดน้ำให้ชุ่ม
2. พอต้นแครอทโตประมาณ 5-7 ซม. ให้ถอนต้นที่ถี่ออก ให้ห่างกัน 2-3 ซม. ต่อต้น
3. พอโตประมาณ 15 ซม. ถอดต้นออก ห่างกัน 7 ซม. ต่อต้น
4. เติมปุ๋ยหมักชีวภาพระหว่างแถว 300 กรัมต่อ 1 ตร.ม. ทุก ๅ 20 วัน
5. แครอทจะมีปัญหาทางหัวถูกทำลายจาก เสี้ยนดินและเน่าเสีย ควรรดน้ำหมักสะเดาผสมน้ำสกัดชีวภาพ อยู่สม่ำเสมอ ทุกๆ 3-5 วัน
6. ถ้าแครอทเฝือใบ คือใบงาม แต่หัวมีขนาดเล็กให้หักก้านใบ โดยสวมรองรองเท้าเหยียบยอดและ
ก้านใบของเครอทให้ล้มลง เพื่อลดการลำเลียงอาหารไปเลี้ยงใบระยะที่แครอทกำลังจะลงหัว

ขอบคุณที่มา : myveget.com

การปลูกชะอมด้วยเมล็ด ปักชำ

#การปลูกชะอมด้วยเมล็ด
#อุปกรณ์

         เมล็ดชะอมที่สมบูรณ์
         กะละมังแช่เมล็ด
         กระถางขนาดเล็กหรือถุงเพาะต้นกล้า
         กระถางปลูกขนาดใหญ่
         ดินร่วน ปุ๋ยคอก/ปุ๋ยหมัก  และปุ๋ยยูเรีย



#วิธีปลูก
 1. แช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำ

         ลำดับแรกของการปลูกชะอมด้วยเมล็ดนั้น เราจะต้องนำเมล็ดพันธุ์ที่ได้มาไปแช่น้ำไว้ 1 วันกับอีก 1 คืน เพื่อดูว่าเมล็ดไหนใช้ได้บ้าง ถ้าเป็นเมล็ดที่แข็งแรงและพร้อมปลูกจะปริออกเล็กน้อยหลังจากแช่น้ำ แต่ถ้าเมล็ดไหนไม่ปริเปลือกออกแสดงว่าไม่สมบูรณ์ให้ช้อนทิ้งไป

 2. ลงเมล็ดชะอมในในกระถางเพาะกล้า

         เมื่อเราได้เมล็ดที่แตกตัวพร้อมปลูกมาแล้ว ให้เตรียมกระถางเพื่อปลูกต้นกล้าโดยการใส่ดินร่วนปนทรายที่ผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก และนำเมล็ดมาฝังลงผิวดินไม่ต้องกลบจนมิด ประมาณ 2 เมล็ด รดน้ำวันละครั้ง อย่าให้แฉะจนเกินไป

 3. ย้ายต้นกล้ามาปลูกกระถางใหญ่

         เพียงไม่กี่วันเราจะได้เห็นต้นกล้าชะอมน้อย ๆ โผล่ขึ้นมาแล้ว จากนั้นก็ย้ายต้นกล้าชะอมลงมาปลูกในกระถางใหญ่ ใส่ปุ๋ยคอก และรดให้ชุ่มแต่อย่าแฉะ

#การปลูกชะอมแบบปักชำ
#อุปกรณ์

         กิ่งชะอมที่สมบูรณ์
         กรรไกรต้นไม้
         กระถางขนาดเล็ก หรือถุงเพาะต้นกล้า
         กระถางปลูกขนาดใหญ่
         ดินร่วน, ปุ๋ยคอก/ปุ๋ยหมัก, ปุ๋ยยูเรีย, แกลบ และขี้เถา

#วิธีปลูก
 1. คัดเลือกกิ่งที่ดีไปปักชำ

         ถ้าจะปลูกชะอมด้วยวิธีการปักชำให้เลือกกิ่งชะอมที่มีความแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่เป็นโรค ต้องไม่แก่และไม่อ่อนจนเกินไป มีตาติดอยู่ในกิ่งประมาณ 3-4 ตา จากนั้นตัดกิ่งออกมาให้ได้ความยาวประมาณ 20 เซนติเมตร

 2.  ปักลงดินให้แตกราก

         เมื่อได้กิ่งที่พร้อมแล้วให้นำไปปักลงในกระถางหรือถุงเพาะกล้าที่มีดินผสมแกลบ ขี้เถ้า และปุ๋ยคอก รดน้ำวันเว้นวันให้ชุ่มแต่อย่าแฉะ ต้นกล้าชะอมจะแตกยอดและออกรากใหม่ให้เรานำไปปลูกลงในกระถางใหญ่อีกครั้ง


#วิธีการดูแล
ชะอมจะเป็นไม้เลื้อยที่ปลูกง่ายโตง่ายก็ตาม แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องโรครากเน่าให้เราต้องระวังเป็นพิเศษ ทางที่ดีควรจะเลือกปลูกชะอมในช่วงฤดูร้อนไปเลยเพื่อประคับประคองให้ต้นอ่อนแข็งแรงพอที่จะไม่เสี่ยงต่อโรครากเน่า และพร้อมเผชิญหน้ากับฤดูฝนต่อไป ส่วนปัญหาศัตรูพืชก็ไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก แต่อาจจะมีหนอนกินยอดและมดแดงบ้างเล็กน้อย ให้นำน้ำดองหน่อไม้ราดลงไปที่รังของมันก็จะช่วย

กำจัดศัตรูพืช
แม้ชะอมจะเป็นไม้เลื้อยที่ปลูกง่ายโตง่ายก็ตาม แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องโรครากเน่าให้เราต้องระวังเป็นพิเศษ ทางที่ดีควรจะเลือกปลูกชะอมในช่วงฤดูร้อนไปเลยเพื่อประคับประคองให้ต้นอ่อนแข็งแรงพอที่จะไม่เสี่ยงต่อโรครากเน่า และพร้อมเผชิญหน้ากับฤดูฝนต่อไป ส่วนปัญหาศัตรูพืชก็ไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก แต่อาจจะมีหนอนกินยอดและมดแดงบ้างเล็กน้อย ให้นำน้ำดองหน่อไม้ราดลงไปที่รังของมันก็จะช่วยกำจัดศัตรูพืช

#ระยะเวลาเก็บเกี่ยว
 ชะอมถือว่าเป็นผักที่ไม่ต้องใช้เวลานานในการเก็บเกี่ยวเท่าพืชผักอื่น ๆ เพียงแค่ 3-4 เดือนก็สามารถเก็บยอดได้แล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : kapook.com

วิธีปลูกกระเจี๊ยบเขียว สร้างรายได้

#วิธีปลูกกระเจี๊ยบเขียว 
#ระยะปลูกและเมล็ดพันธุ์ที่ใช้
      การปลูกอาจทำได้ทั้งแบบร่องสวนและ แบบไร่ โดยทั่วไปใช้ระยะระหว่างต้นและแถว 50 x 50 เซนติเมตร ปลูกจำนวน 1-2 ต้นต่อหลุมอัตราการใช้เมล็ดพันธุ์ต่อไร่ = 1 กิโลกรัมเมล็ดกระเจี๊ยบเขียว 100 เมล็ดหนัก 6-7 กรัมเมล็ดหนัก 1 กิโลกรัม = 16,666-14,285 เมล็ด



#การเตรียมแปลงปลูกและการปลูก
      กระเจี๊ยบเขียวเจริญเติบโตได้ดีใน สภาพดินร่วนระบายน้ำดี ไม่ชอบความชื้นมากเกินไป ในกรณีที่ระดับน้ำใต้ดินสูงหรือปลูกในฤดูฝนต้องยกร่องสูง การเตรียมดินมีความสำคัญมาก เนื่องจากระยะเวลาเก็บเกี่ยว ผลผลิตนานถึง 6 เดือน ดินปลูกต้องร่วนซุยไม่แน่น การพรวนดินต้องลึก ใส่อินทรีย์วัตถุ เช่น ปุ๋ยคอก มูลเป็ด มูลไก่ ฯลฯ และควรใส่ปูนขาว เพื่อปรับสภาพความเป็นกรดด่างของดินให้เหมาะสมก่อนปลูกควรคลุกเมล็ด เพื่อป้องกันโรคที่ติดมากับเมล็ดพันธุ์ เช่น โรคฝักจุดหรือฝักลายโดยเฉพาะเมล็ดพันธุ์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ

การเตรียมแปลงปลูกและการปลูกแบบไร่คือปลูกในสภาพพื้นที่ซึ่งเคยปลูก อ้อยหรือปลูกข้าวโพดอ่อนไม่มีร่องน้ำ ดินร่วนปนทรายมีการระบายน้ำดี
การเตรียมแปลงใช้แทรกเตอร์ขนาดใหญ่ 1-2 ครั้ง แล้วยกร่องไถดิน ตากดิน 3-5 วัน

ไถครั้งที่ 2 พรวนดิน แล้วยกร่องด้วยแทรกเตอร์ ยกร่องกว้าง 75 เซนติเมตร (ให้น้ำแบบร่อง) ใช้จอบปรับร่องให้เสมอเพื่อน้ำจะได้เข้าแปลงได้ดี ใช้จอบตีหลุมซึ่งหลุมปลูกจะอยู่ต่ำกว่าขอบแปลงประมาณ 1 คืบ ปลูกแถวคู่ ระยะระหว่างต้น 50 เซนติเมตร พื้นที่ 1 ไร่ เตรียมหลุมปลูก 8,480 หลุม

#การให้น้ำ
   กระเจี๊ยบเขียวชอบความชื้นปานกลาง ในช่วงฤดูหนาวและร้อนควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรปล่อยให้แห้ง โดยเฉพาะในช่วงออกดอก และติดฝักปริมาณการติดฝักจะขึ้นกับการปฏิบัติดูแลรักษาเป็นหลัก มากกว่าขึ้นกับพันธุ์โดยเฉพาะการให้น้ำในช่วงนี้ควรหมั่นรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การเจริญเติบของต้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ฝักมีคุณภาพดี และมีปริมาณฝักที่ได้สูง ถ้าขาดน้ำผลผลิตจะต่ำ ฝักเล็กคดงอ ไม่ได้คุณภาพ

#การให้ปุ๋ย
   เนื่องจากระยะเวลาในการปลูกยาวนานมาก ดังนั้นการใส่ปุ๋ยจึงต้องให้เพียงพอจึงจะทำให้ฝักตกและคุณภาพดี ในพื้นที่ที่มีอินทรีย์วัตถุสูง มีความอุดมสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะแปลงที่เคยปลูกผักกินใบมาก่อน ควรใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เพราะกระเจี๊ยบเขียวมีพลังดูดซับปุ๋ยสูงมากไวต่อการทำปฏิกิริยากับปุ๋ย โดยเฉพาะปุ๋ยไนโตรเจนต้องระมัดระวังมาก ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้ต้นเผือใบ ฝักโตเร็วเกินไป เป็นโรคและช้ำง่าย การใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง อาจใช้ในช่วงแรกก่อนติดฝักและหลังจากตัดต้นเพื่อเร่งการแตกกิ่งแขนง อัตราใส่ปุ๋ยโดยปกติ 20 วันต่อครั้ง ปริมาณปุ๋ย 10-25 กิโลกรัมต่อไร่ต่อครั้ง ตามความอุดมสมบูรณ์ของดิน ซึ่งใช้ปุ๋ยประมาณ 75-100 กิโลกรัมต่อไร่ต่อฤดูปลูก ทั้งนี้ขึ้นกับความยาวนานของการเก็บเกี่ยวผลผลิตด้วย

#อายุการเก็บเกี่ยว
   กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชที่โตเร็ว เมื่ออายุได้ 40 วัน จะเริ่มออกดอก หลังดอกบาน 5 วัน ฝักจะยาว 4-9 เซนติเมตร ซึ่งสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตฝักสดได้ มีขนาดและคุณภาพฝักดี คือ ฝักกระเจี๊ยบมีความอ่อนนุ่มมีรสชาด และเนื้อสัมผัสที่ผู้บริโภคพอใจ อ่อน ไม่มีเส้นใยตรงตามที่ตลาดต้องการ ฝักกระเจี๊ยบเขียวโตเร็วมากโดยเฉพาะอากาศร้อนจะเติบโตวันละ 2-3 เซนติเมตร เกษตรกรจึงต้องเก็บเกี่ยวทุกวัน และไม่ควรปล่อยทิ้งฝักที่สามารถตัดได้ให้หลงเหลืออยู่บนต้น เพราะต้นจะต้องส่งอาหารมาเลี้ยง ทำให้ผลผลิตต่ำ เกษตรกรจะสามารถเก็บฝักที่มีคุณภาพดีได้ประมาณ 1 ฝ -2 เดือน ฝักที่แตกยอดจะเริ่มหมดและไม่แข็งแรง สังเกตจะมีกิ่งแขนงออกจากต้น 2-3 กิ่ง ควรตัดต้นทิ้ง เพื่อให้แตกแขนงใหม่ซึ่งสามารถเก็บผลผลิตได้อีกประมาณ 2 เดือน ผลผลิตที่ได้เฉลี่ยตลอดฤดูปลูก 30 กิโลกรัมต่อไร่ต่อวัน หรือประมาณ 3,000-5,000 กิโลกรัมต่อไร่ต่อฤดูปลูก (ก.ย.-พ.ค.) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและความยาวนานในการเก็บผลผลิต

ขอขอบคุณข้อมูล : บ้านพอเพียง.blogspot.com

วิธีปลูกมะนาวแป้น สร้างรายได้

วิธีปลูกมะนาวแป้น 

#พันธุ์มะนาวที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และปลูกกันในประเทศไทย ในปัจจุบัน ได้แก่

      1. มะนาวหนัง ผลอ่อน มีลักษณะกลมยาว หัวท้ายแหลม เมื่อโตเต็มที่ ผลจะมีลักษณะกลม ค่อนข้างยาว มีกลมมนบ้าง เล็กน้อย ด้านหัว มีจุกเล็ก ๆ มีเปลือกค่อนข้างหนา จึงทำให้ เก็บรักษาผลไว้ได้นาน  
      2. มะนาวไข่ มีขนาดและลักษณะ คล้ายมะนาวหนังเกือบทุกอย่าง ผลอ่อนมีลักษณะ กลมยาวหัวท้ายแหลม เมื่อโตเต็มที่ ผลจะมีลักษณะ กลมมนเป็นส่วนมาก เปลือกบาง ผลโตกว่า มะนาวหนัง  
      3. มะนาวแป้น เป็นมะนาวที่สามารถ ให้ดอกออกผลตลอดปี ผลมีขนาดกลาง ทรงผลแป้น เปลือกบาง มีหลายพันธุ์ เช่น พันธุ์แป็นรำไพ แป้นทราย เป็นต้น

วิธีปลูกมะนาวแป้น  เครดิตภาพ  : greenspace.market


#สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม 
     มะนาวเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ดีในดินเกือบทุกชนิต ไม่ว่าจะเป็น ดินเหนียว ดินทราย แต่ถ้าต้องการจะปลูกมะนาว ให้เจริญงอกงามดี มี ผลดก และคุณภาพดี ก็ควรจะปลูกในพื้นท ี่ที่เป็นดินร่วนซุย มีการระบาย น้ำดี มีอินทรียวัตถุผสม อยู่มาก และควรเลือกพื้นที่ที่อยูใกล้แหล่งน้ำ

#การเตรียมพื้นที่ปลูก
     1. พื้นที่ลุ่ม เตรียมพื้นที่โดยการทำคันดินใหัมีความกว้างประมาณ 6-8 เมตร ส่วนสูงให้สังเกตจากปริมาณน้ำที่เคยท่วมสูงโดยให้อยู่สูงกว่า แนวระดับน้ำท่วม 50 เซนติเมตร แทงร่องหรือซอยร่องทำประตูน้ำเพื่อ ระบายน้ำเข้าออก ขนาดร่องน้ำกว้าง 1.5 เมตร ลึก 1 เมตร พื้นที่ร่องกว้าง 0.5-0.7 เมตร ใช้ระยะปลูก 5X5 เมตร
2. พื้นที่ดอน ควรไถพรวนเพื่อกำจัดวัชพืช และทำให้ดินร่วนซุย ใช้ระยะปลูก 4 x 4 – 6 x 6 เมตร ทั้งนี้ขื้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน

#วิธีการปลูก
     ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน ควรขุดหลุมปลูก ให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50 เซนติเมตร ผสมดิน ปุ๋ยคอก และปุ๋ยร็อคฟอสเฟตเข้าด้วยกัน ในหลุมให้ สูงประมาญ 2 ใน 3 ของหลุม ยกถุงกล้า ต้นไม้วางในหลุม โดยให้ระดับของดินในถุงสูงกว่า ระดับดินปากหลุมเล็กน้อย ใช้มีดที่คม กรีดถุง จากก้นถุงขึ้นมาถึงปากถุงทั้ง 2 ด้าน (ช้ายและขวา)

ดึงถุงพลาสติกออก โดยระวังอย่าให้ดินแตก กลบดินที่เหลือลงในหลุม กดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น ปักไม้หลักและผูกเชือกยึด เพื่อป้องกันลมพัดโยก หาวัสถุคลุมดินบริเวณโคนต้น เช่น ฟางข้าว หญ้าแห้ง รดน้ำให้โชก ทำร่มเงา เพื่อช่วยพรางแสงแดด

#การปฏิบัติดูแลรักษา
1. การให้น้ำ
     ต้องมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะ ในช่วง ที่ปลูกใหม่ๆ ควรให้น้ำวันละครั้งเป็นอย่างน้อย (กรณีฝนไม่ตก) หลังจากปลูกประมาณ 15 วัน มะนาวสามารถตั้งตัวได้แล้ว ให้น้ำเดือนละ 2-3 ครั้ง และควรหา วัสดุมาคลุมดินบริเวณโคนต้น เพื่อช่วยรักษาความชื้น  
     ควรเริ่มงดให้น้ำ ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม เป็นต้นไป จนถึงช่วงออกดอก เพื่อให้มะนาวสะสม อาหารให้สูงถึงระดับที่สามารถสร้างตาดอกได้ ปกติมะนาวจะออกดอก เดือนเมษายน-พฤษภาคม หลังจากมะนาวออกดอก และกำลังติดผลอ่อน เป็นช่วงที่มะนาวต้องการน้ำมาก เพื่อใช้ในการเจริญเติบโต ของผล
2. การใส่ปุ๋ย
     2.1 หลังจากมะนาวอายุได้ 3-4 เดือน ควรใส่ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก ประมาณต้นละ 0.5 กิโลกรัม กรณีใส่ปุ๋ยเคมีควรใส่หลังจาก พรวนดิน กำจัดวัชพืชแล้ว โดยใส่บริเวญรอบทรงพุ่ม แล้วก็ให้น้ำ ตามเพื่อ ให้ปุ๋ยละลาย  
     2.2 เมื่อมะนาวอายุ 1 ปี ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ประมาณ ต้นละ 300 กรัม และเมื่อมะนาวอายุ 2 ปี ก็เพิ่มปริมาญปุ๋ยโดยใส่ปีละ 2 ครั้ง ๆ ละประมาณ 1 กิโลกรัม ทั้งนี้ขี้นอยู่กับสภาพความอุดมสมบูรณ์ ของตน และเมื่อมะนาว อายุย่างเข้าปีที่ 3 ก็จะเริ่มให้ผลผลิต
     2.3 ช่วงระยะก่อนออกดอกประมาณ 1-2 เดือน ให้ใส่ปุ๋ย สูตรที่มีฟอสฟอรัสสูง เช่น สูตร 12-24-12 หรืออาจใช้ปุ๋ยสูตร 3-10-10 เพื่อเร่งการเจริญเติบโตในระยะที่ยังไม่ออกดอก และใช้สูตร 0-52-34 ในระยะเร่งการออกดอก ประมาณ 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ปริมาณที่ใช้ ขึ้นอยู่กับอายุของต้นพืช โดยใส่ในปริมาณครึ่งหนึ่งของอายุต้น
3. การกำจัดวัชพืช
     การกำจัดวัชพืชในสวนมะนาวสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ถอน ถาง หรือใช้เครื่องตัดหญ้าแต่ต้องระวังอย่าให้เกิดบาดแผลตามโคนต้น หรือกระทบกระเทือนราก วิธีกำจัดวัชพืชอีกวิธีหนึ่งที่นิยมคือการใช้สารเคมี เช่น พาราชวิท ไกลโฟเสท ดาวพอน เป็นตัน โดยการใช้จะต้องระวัง อย่าให้สารพวกนี้ปลิวไปถูกใบมะนาวเพราะอาจเกิดอันตรายได้ เช่นทำให้ ใบไหม้เหลืองเป็นจุดๆ หรือไหม้ทั้งใบ ดังนั้นจึงควรฉีดพ่นตอนลมสงบ

4. การค้ำกิ่ง
     เมื่อมะนาวใกล้จะผลิดอกออกผล ต้องมีการค้ำกิ่งให้กับต้นมะนาวด้วย เพื่อป้องกันกิ่งฉีกหักหรือฉีกขาดโดยเฉพาะในช่วงติดผล และยังช่วยลดความเสียหาย เนื่องจากโรคและแมลงได้ โดยวิธีการค้ำกิ่ง สามารถทำได้ 2 วิธี คือ
          1. การค้ำกิ่งโดยการใช้ไม้รวกหรือไม์ไผ่ทำเป็นง่าม สอดเขัากับกิ่งมะนาว ให้ปลายอีกข้างหนึ่งวางตั้งรับน้ำหนักของกิ่งอยู่บนพื้นดิน แล้วใช้เชือกผูกมัดกิ่งไว้
          2. การค้ำกิ่งแบบคอกหรือนั่งร้าน โดยเอาไม้มาทำเป็นนั่งร้านรูปสี่เหลี่ยนรอบๆ ต้นมะนาวเพื่อรองรับกิ่งใหญ่ ๆ ของมะนาวไว้ อาจทำเป็น 2-3 ชั้น แล้วให้กิ่งพาดอยู่ที่ชั้นใดก็ได้ ซึ่งวิธีนื้จะมั่นคงทนทาน และใชัประโยชน์ได้ดีกว่าวิธีแรก

5. การตัดแต่งกิ่ง
     เพื่อให้มะนาวมีทรงพุ่มสวยและให้ผลดกปราศจากการทำลายของโรคและแมลง การตัดแต่งกิ่งควรทำหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว โดยตัดกิ่งที่เป็นโรค กิ่งแห้ง กิ่งที่ไม่มีประโยชน์ออกให้หมด แล้วนำไปเผาทำลาย อย่าปล่อยทิ้งไว้ตามโคนต้น เพราะจะทำให้เป็นแหล่งสะสมโรคได้

#การเก็บเกี่ยว
     การเก็บผลมะนาว ถ้าต้นเตี้ยหรือไม่สูงมากนัก ก็เก็บ โดยใช้มือปลิด แต่ถ้าต้นสูง นิยมเก็บโดยใช้มีด หรือตะขอผูกติด กับด้ามไม้รวกยาว ๆ คล้อง และกระตุกผลมะนาวลงมา

ขอขอบคุณที่มา : lemonthai.wordpress.com

วิธีปลูกต้นพุด สิริมงคลแก่ตัวเองผู้ปลูก

เสริมความสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นพุดไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์ ถ้าจะให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวเองผู้ปลูกควรเป็นสุภาพบุรุษ เพราะพุดเป็นชื่อที่เหมาะสมสำหรับสุภาพบุรุษ

วิธีปลูกต้นพุด  เครดิตภาพ :   nanagarden.com


#วิธีการปลูก ส่วนใหญ่นิยมปลูกต้นพุดในแปลงปลูก เพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน
ขนาดหลุมปลูก 50 x 50 x 50 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 2 ผสมดินปลูก
และควรปลูกให้มีระยะห่างที่พอเหมาะ เพราะต้นพุดเป็นไม้ที่มีทรงพุ่มใหญ่

#การดูแลรักษา ต้นพุดต้องการแสงแดดจัด และควรรดน้ำอย่างน้อย 5-7 วัน/ครั้ง
ควรใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 2 -.3 กิโลกรัม / ต้น
ควรใส่อย่างน้อยปีละ 2 – 3 ครั้ง หรือใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 200-300 กรัม/ต้น
ควรใส่ปีละ 3-4 ครั้ง

เลือกซื้อต้นไม้คราวหน้าอย่าลืมซื้อต้นพุดติดมือมาด้วย เพื่อความเจริญก้าวหน้าของชีวิต …

ที่มา :  www.youtube.com/edit?o=U&video_id=bqjntBB4Q1s